ค่านิยมน้ำดื่มกับภาวะขาดแคลน ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับน้ำ
น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งมีชีวิตมนุษย์ผูกพันกับน้ำนับตั้งแต่เกิดจนตายมักมีคำกล่าวถึงน้ำว่าเป็นบ่อเกิด
แห่งชีวิต ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ส่วน สามารถแทรกผ่านสู่ส่วนผิวหนัง โพรงกระดูก หรือแม้
แต่เส้นโลหิตดำหรือโลหิตแดง ซึ่งแต่ละปีปริมาณน้ำผ่านสู่ร่างกายมนุษย์ถึง เกือบ 1 ตัน "น้ำ" เป็นสารสำคัญในกระบวนการๆ ในร่างกายมนุษย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะ และปรับ
อุณหภูมิในร่างกาย หากร่างกายขาดน้ำคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ วันหนึ่งๆ ร่างกายต้องสูญเสียน้ำไปโดยขับออกทางปอด
ผิวหนัง อุจจาระและปัสสาวะ ดังนั้นจึงต้องได้รับน้ำมาชดเชยประมาณวันและ 2,000-2,400 มิลลิลิตร อย่างไร
ก็ตามน้ำที่นำมาบริโภคควรเป็นน้ำที่สะอาดเท่านั้น ในยุคโลกาภิวัฒน์ โลกพัฒนาอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดปัญหามลภาวะในทุกด้านจนยากที่จะควบคุมให้อยู่
ในสภาวะสมดุลย์ตามธรรมชาติ มลภาวะของน้ำเสียและพิษภัยจากมลภาวะดังกล่าวคุกคามต่อสุขภาพของ
มนุษยชาติโดยรวมเป็นปัญหาระดับโลก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นมาสารเคมีชนิดใหม่ๆ เป็นจำนวน
หมื่นๆ ตันได้ถูกทิ้งลงไปในแหล่งน้ำและน้ำเหล่านี้ได้ถูกหมุนเวียนกลับมาใช้บริโภคในทุกแถบของโลก ความมหัศจรรย์ของน้ำ น้ำเป็นสสารที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก คุณสมบัติพิเศษเป็นสสารชนิดเดียวในโลก
ที่ปรากฏตามธรรมชาติพร้อมกันทั้ง 3 สถานะ คือ ของเหลว ของแข็ง และก๊าซ ไม่มีขนาด ไม่มีรูปร่างเฉพาะ
แปรเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ มีความสมดุลย์ในตัวเอง คุณสมบัติพิเศษของน้ำในการกลายสถานที่เด่น
อีกอย่างหนึ่ง คือการกลายสถานะเป็นของแข็งขณะที่อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆ น้ำจะหดตัวและมีความหนาแน่น
มากขึ้น จนถึงอุณหภูมิ 4 ซ. น้ำจะเริ่มขยายตัว และแข็งตัวที่ 0 ซ. โดยมีความหนาแน่นน้อยกว่างน้ำ ก้อน
น้ำแข็งลอยอยู่เหนือน้ำ และมีจุดเดือดที่ 100 ซ. ดังนั้นการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนนำไปใช้จึงจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความเข้าใจ
และประสบการณ์เฉพาะงานด้านน้ำอย่างแท้จริง
วัฏจักรของน้ำ (Water Cycle)
น้ำที่อยู่บนพื้นผิวโลกไม่ว่าน้ำเค็มหรือน้ำจืด ก็ตาม จะระเหยกลายเป็นไอน้ำไปอยู่ในอากาศเป็นเมฆ
และตกลงมาเป็นฝนสู่พื้นโลกอีก และเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์หรือระบบหมุนเวียนนี้ เรียกว่า
"วัฏจักรของน้ำ" ส่วนประกอบของวัฏจักรของน้ำสามารถแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ 1. น้ำจากผิวโลกสู่บรรยากาศ ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นผิวน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น ทะเล
มหาสมุทร แม่น้ำลำคลอง ฯลฯ ระเหยกลายเป็นไอไปสู่บรรยากาศ ต้นไม้ต่างๆ หายใจคายไอน้ำออกมาทางใบ
ไอน้ำเหล่านี้อยู่ในอากาศ ถูกลมพัดไปมาและจะเกิดการสะสมเป็นเมฆ ลอยอยู่ในอากาศ 2. ไอน้ำในบรรยากาศเกิดการควบแน่น ไอน้ำในก้อนเมฆ เมื่อกระทบกับอากาศที่เย็นกว่าจะกลั่นตัว
กลายเป็นละอองน้ำ หรือหยดน้ำที่เล็กมาก ซึ่งสามารถรู้ได้โดยการมองเห็นก้อนเมฆสีดำ ๆ หรือก้อนฝนนั่นเอง
ขบวนการนี้เรียกว่า "การควบแน่น" 3. ฝนตกลงสู่พื้นโลก หากเกิดการควบแน่นมากขึ้นจะมีหยดน้ำขนาดใหญ่ขึ้น และตกลงเป็นฝนในที่สุด
หากในอากาศมีฝุ่นละอองอยู่มาก หรือมีแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ โดยเฉพาะบริเวณโรงงานอุตสาหกรรม
ฝนจะชะเอาสิ่งสกปรกเหล่านี้ลงมาด้วย ทำให้น้ำฝนที่ตกมาใหม่ๆ สกปรก กรณีที่มีแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์
น้ำฝนจะทำปฏิกิริยากัลแก๊สดังกล่าว กลายเป็นกรดกำมะถัน ตกลงมาสู่พื้นโลก ซึ่งน้ำฝนนี้มักเรียกว่า "ฝนกรด"
(Acid Rain) มีอำนาจในการกัดกร่อนโลหะ รูปปั้นต่างๆ ที่ก่อสร้างในที่โล่งทำให้เกิดการเสียหายได้ 4. ซึมลงสู่ดินและสะสมเป็นแหล่งน้ำบนดิน เมื่อฝนตกลงสู่พื้นโลก น้ำฝนจะไหลนองไปตามพื้นดิน
ไหลผ่านพื้นที่ต่าง ๆ และจะชะเอาสิ่งสกปรกบนดินไปกับน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำไปสะสมในแม่น้ำ ลำคลอง หรือไหล
ลงทะเล น้ำฝนอีกส่วนหนึ่ง จะซึมลงสู่ใต้ดินกลายเป็นเป็นน้ำใต้ดินขึ้น น้ำที่ซึมอยู่บิรเวณชั้นดินตอนบนจะถูก
พืชดูดเอาไปเลี้ยงลำต้น หรือถูกดวงอาทิตย์เผาให้กลายเป็นไอสู่อากาศอีกและจะวนอยู่เช่นนี้ตลอดไป จากวัฏจักรของน้ำ หากถือพื้นดินเป็นหลักก็จะสามารถแบ่งประเภทของแหล่งน้ำเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ
คือส่วนที่อยู่เหนือพื้นดินจะเรียกว่า "น้ำใบรรยากาศ" ซึ่งหมายถึงฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นต้น ส่วนอยู่บนดิน
จะเรียกว่า "น้ำผิวดิน" เช่น แม่น้ำ ลำคลอง อ่างเก็บน้ำ ฯลฯ และส่วนที่อยู่ใต้ดินเรียกว่า "น้ำใต้ดิน" เช่น
น้ำบาดาล น้ำพุ เป็นต้น แหล่งน้ำทั้ง 3 ชนิดนี้มีคุณภาพและปริมาณแตก่างกันบางชนิดสามารถนำมาผลิตน้ำบริโภคได้เพราะมี
ปริมาณมากพอ และคุณภาพที่สามารถบำบัดได้ เช่นน้ำบาดาล บางชนิดก็ไม่สามารถนำมาผลิตน้ำบริโภคได้
เช่นแหล่งน้ำที่มีสารละลายฟลูออไรด์ (Fluoride F) เพราะมีขบวนการในการบำบัดยุ่งยาก เสียค่าใช้จ่ายมาก
ไม่คุ้มในเชิงการค้า มาตฐานน้ำบริโภคกำหนดไม่เกิน 1.5 พี.พี. เอ็ม น้ำในบรรยากาศ ได้แก่น้ำฝน น้ำค้างเป็นต้นน้ำประเภทนี้โดยทั่วไปจัดเป็นน้ำสะอาดที่เหมาะในการบริโภค
แต่คุณภาพน้ำอาจเปลี่ยนไปตามปัจจัยต่างๆ เช่นฝุ่นและอองและก๊าซในชั้นบรรยากกาศความสะอาดของพื้นที่
รองรับน้ำฝน หลังคาบ้าน และภาชนะสำหรับเก็บน้ำฝน น้ำผิวดิน (Surface Water) น้ำผิวดิน หมายถึงน้ำที่สะอาดที่สะสมอยู่บนพื้นดินเกิดจากส่วนของน้ำฝนที่
ตกลงดินแล้วไหลลงสู่แม่น้ำลำธาร ในประเทศหนาวที่มีหิมะตก น้ำผิวดินก็เกิดจากการละลายของหิมะแล้วไหล
ลงสู่ลำธารแม่น้ำด้วย นอกจากนี้แหล่งที่มาของน้ำผิวดินอีกทางหนึ่ง คือมาจากน้ำบาดาล หากน้ำผิวดินมีแหล่งที่
มาจากน้ำฝนและหิมะเพียง 2 ทางนี้เท่านั้น น้ำที่ไหลอยู่ในแม่น้ำลำคลองคงจะแห้งไปนานแล้วหลังจากฝนตก
สักระยะหนึ่งอย่างไรก็ตามที่ยังคงเห็นนำไหลอยู่ได้ตลอดปีนั้น เนื่องมาจากน้ำบาดาลหรือน้ำใต้ดินไหลซึมออก
มาสู่ลำธาร แสดงให้เห็นถึงการที่น้ำใต้ดินไหลออกมาสู่น้ำในแม่น้ำ เนื่องจากระดับน้ำใต้ดินอยู่สูงหากน้ำใต้ดิน
อยู่ต่ำ น้ำจากแม่น้ำลำธารบางส่วนก็จะไหลซึมลงสู่ใต้ดินเหมือนกัน น้ำใต้ดิน (Ground Water) น้ำฝนที่ตกลงมายังพื้นดินบางส่วนจะถูกพืชดูดไว้ บางส่วนไหลลงสู่แม่น้ำ
ลำธารหรือทะเลเป็นน้ำผิวดิน บางส่วนไหลซึมลงไปใต้ดินจะซึมผ่านชั้นต่าง ๆ ของดินชะเอาแร่ธาตุและมลทิน
ในแม่น้ำ จนถึงชั้นดินซึ่งน้ำซึมผ่านไม่ได้ น้ำที่ขังอยู่บนชั้นดินนี้เรียกว่า น้ำใต้ดิน น้ำใต้ดินนั้นบางทีก็อยู่ตื้น
บางทีก็อยู่ลึกทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ และระดับน้ำใต้ดิน ในแถบนั้นจะอยู่ตื้นหรือลึก
ถ้าหากเจาะบ่อลงไปให้ลึกถึงระดับน้ำในชั้นน้ำที่เรียกว่า น้ำบาดาลในที่กักขังจริง ๆ แล้วก็สามารถมีน้ำใช้ได้
ตลอดปี นอกเสียจากว่าบ่อที่เจาะลงไปนั้นพบว่าน้ำในชั้นน้ำบาดาลปลอม ซึ่งเป็นน้ำขังอยู่ในชั้นหินที่อยู่ใต้ดิน
ของโซนสัมผัสอากาศ บ่อบาดาลปราศจากความดัน น้ำในบ่อนี้เป็นน้ำที่ถูกกักเก็บอยู่ในบริเวณอิ่มตัวด้วยน้ำมีระดับผิวบนอยู่ที่
ระดับน้ำใต้ดิน การไหลก็เป็นไปตามความสูงของระดับน้ำใต้ดินภายใต้แรงดึงดูดของโลกไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพล
ของความกดดันใดๆ ทั้งสิ้น บ่อบาดาลภายใต้แรงดัน น้ำบาดาลในบ่อประเภทนี้ เป็นน้ำที่ถูกเก็บในชั้นหินอุ้มน้ำ ซึ่งวางตัวอยู่ระหว่าง
ชั้นหินเนื้อแน่นที่คล้ายผนังท่อน้ำ น้ำชนิดนี้จะอยู่ภายใต้ความกดดันอันเนื่องมาจากน้ำหนักของชั้นหินที่กดทับ
และน้ำหนักของน้ำในระหว่างชั้นหินด้วยกันแต่อยู่ระดับ Hydrostatic Pessure กัน หินอุ้มน้ำซึ่งเป็นที่เก็บน้ำ
บาดาลนี้จะมีการวางตัวอยู่ในแนวราบหรือเอียงก็ได้ ส่วนใหญ่จะวางอยู่ในแนวเอียงลาด ฉะนั้นจึงปรากฏว่า
ชั้นน้ำที่เอียงนี้ อาจโผล่ขึ้นให้เห็นที่ผิวดิน เชิงเขา ริมเขา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางธรณีวิทยาของชั้นหิน
ด้วยบริเวณที่ชั้นน้ำโผล่ขึ้นสู่ผิวดินเรียกว่า "ปากทางน้ำเข้า" เพราะน้ำฝนหรือน้ำจากแม่น้ำลำธารมีโอกาส
ไหลเข้าสู่ชั้นน้ำโดยตรง น้ำบาดาลประเภทนี้ถูกกับเก็บอยู่ภายใต้ความกดดัน ฉะนั้นเมื่อเราเจาะบ่อบาดาลลงไปถึงชั้นน้ำประเภทนี้
แรงดันจะดันได้ระดับน้ำขึ้นมาอยู่เหนือระดับผิวชั้นหินอุ้มน้ำ ความสูงของระดับน้ำที่ขึ้นมานี้ตามทฤษฎีจะสูง
กว่าระดับน้ำในชั้นเดียวกัน ซึ่งอยู่บริเวณปากทางน้ำเข้าแต่โดยปกติมักมีความต้านทางของหินต่อการไหล
ของน้ำ ทำให้ความสูงของน้ำในบ่อต่ำกว่าระดับทางทฤษฎีเล็กน้อย ฉะนั้นถ้าปากทางน้ำเข้าอยู่บนภูเขาและ
บริเวณเจาะบ่ออยู่ในที่ราบหรือหุบเขา ระดับน้ำในบ่อก็จะสูงขึ้นเกือบเท่าความสูงของภูเขา ในกรณีนี้น้ำจาก
บ่อจะไหลขึ้นพ้นผิวดินกลายเป็นน้ำพุที่เรียกว่า "น้ำพุบาดาล" ผิวระดับน้ำในบ่อเจาะในชั้นหินอุ้มน้ำกักขัง
ไม่ว่าจะอยู่เหนือผิวดินหรือต่ำกว่าผิวดิน เรียกว่า "ผิวเขตความดัน" การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของปริมาณน้ำ
ในชั้นนี้เหมือนน้ำบาดาลประเภทแรก แต่มีสาเหตุเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความดัน น้ำใต้ดิน เช่นน้ำบาดาล น้ำพุคุณภาพของน้ำประเภทนี้ทางจุลินทรีย์และทางฟิสิกส์มักไม่ค่อยมีปัญหา
แต่ทางด้านเคมีมักจะพบว่ามีปัญหาของแร่ธาตุต่างๆ ปนเปื้อนอยู่ ปัญหาที่พบจากน้ำธรรมชาติที่ไม่สามารถนำมาบริโภคโดยตรงได้เนื่องมาจากการปนเปื้อนซึ่งอยู่ในน้ำ
และไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
• 1. สารปนเปื้อนทางเคมีและกายภาพ ได้แก่แร่ธาตุต่างๆ ความกระด้าง ความเป็นกรดด่าง
• 2. สารปนเปื้อนทางชีวภาพ (จุลินทรีย์) ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา ตะไคร่ เป็นต้น
สารปนเปื้อนทางเคมและกายภาพที่ปรากฏในแหล่งน้ำธรรมชาติจำแนกได้ดังนี้
1. น้ำผิวดิน ปัญหาที่พบเป็นประจำคือ ความขุ่น ซึ่งจะพบเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณสนิทเหล็กสูง ทำให้น้ำมี
สีแดงไม่น่าไว้ไจ กลิ่นและสีจากน้ำ ซึ่งปัจจุบันจะพบมากขึ้นอันเนื่องมาจากของเสียที่โรงงาน บ้านเรือน ทิ้งลงไป
ที่แม่น้ำลำคลอง ความกร่อย จะพบตามแม่น้ำลำคลองที่น้ำทะเลหนุนขึ้นมาถึง ความกระด้าง ซึ่งเมื่อเอาไปต้มจะ
เกิดตะกรันจับที่ภาชนะ
2. น้ำใต้ดิน ปัญหาที่พบเป็นประจำคือ ปริมาณสนิมเหล็กสูง ความกร่อย ความขุ่น กลิ่นและสีของน้ำ ความ
กระด้าง
แนวทางการกำจัดสารปนเปื้อนในน้ำ
1. การกรองด้วยทราย กรวด หินจะสามารถกรองความขุ่น สารแขวนลอย โคลนออกได้หากความขุ่นมีมาก
อาจจะใช้สารส้มเป็นตัวเร่งให้ตกตะกอนเร็วขึ้นก่อนกรอง
2. กลิ่น สีและน้ำมัน ใช้เครื่องกรองที่บรรจุสารกรอง Activated Carbon สารคาร์บอนจะทำหน้าที่กำจัดกลิ่น
สีและน้ำมันออกไปจากน้ำ
3. ความกระด้าง ความกระด้างของน้ำเกิดจากน้ำมีปริมาณแคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม (Ca, Mg) สูงกว่าปกติ
ซึ่งทำให้ฟองสบู่ไม่เป็นฟอง เกิดตะกรันที่กาน้ำ หม้อทำน้ำร้อนเครื่องกำเนิดไอน้ำ ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้
ด้วยการใช้เครื่องกรองความกระด้าง (Softener) ซึ่งใช้สารกรอง Cation Resin เป็นตัวกำจัดความกระด้างออกจากน้ำ
ความกระด้างของน้ำ อาจแบ่งเป็นชนิด ๆ ได้ดังนี้
• เมื่อน้ำมีความกระด้าง 0-75 ppm เรียกว่า น้ำอ่อน
• เมื่อน้ำมีความกระด้าง 75-150 ppm เรียกว่า น้ำกระด้างปานกลาง
• เมื่อน้ำมีความกระด้าง 150-300 ppm เรียกว่า น้ำกระด้าง
• เมื่อน้ำมีความกระด้าง 300 ppm ขึ้นไป เรียกว่า น้ำกระด้างมาก
3. ความกร่อย ความกร่อยของน้ำเกิดจากน้ำมีปริมาณเกลือ (NaCi) สูงถ้าปริมาณไม่มากสามารถกำจัดออก
ด้วยใช้ระบบ Deionzer แต่ถ้าปริมาณ NaCi สูงมากๆ ต้องกำจัดออกด้วยเครื่อง Reverse Osmosis
4. สนิมเหล็ก มีหลายวิธี เช่น AERATION คือการเติมออกซิเจนให้กับน้ำเพื่อให้เกิดเป็นสารเหล็กตะกอน
สามารถกรองได้ , ION EXCHANGE โดยการแลกเปลี่ยนอิออนของเหล็กและแมงกานีสกับสารกรองสนิมเหล็ก
เช่น ARICDORB , MANGANESE GREEN SAND เป็นต้น เหล็ก (Fe) และแมงกานีส (Mn) จะถูก
ออกซิไดส์ด้วยออกไซด์ของ MANGANESE GREEN SAND และตกตะกอน
สารปนเปื้อนทางชีวภาพอีกพวกหนึ่ง คือเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และตะไคร่ เป็นต้น แบคทีเรียชนิดเป็นพิษ
ที่พบในน้ำบริโภคไม่สะอาดเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ ดังนี้ โรคระบบทางเดินอาหาร โรคท้องร่วง โรคลำไส้
อักเสบ โรคไทฟอยด์ โรคอหิวาต์ โรคบิด โรคตับอักเสบ การกำจัดเชื้อโรคทำได้ 2 วิธีคือ การกรองเชื้อโรคและ
การฆ่าเชื้อโรค
ระบบการกรองและฆ่าเชื้อในขบวนการผลิตน้ำบริโภคเพื่อจำหน่ายนั้น มีความสำคัญมากระบบหนึ่ง เพราะ
เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภคโดยตรง ผู้ผลิตน้ำบริโภคเพื่อจำหน่าย ควรจะเข้มงวดในจุดนี้ด้วย
1.การกรองเชื้อโรค เชื้อโรคจะมีขนาดตั้งแต่ประมาณ 30 ไมครอนลงไปจนถึงประมาณ 0.2 ไมครอน
ดังนั้น ในการกรองเชื้อโรคให้ได้ผลสมบรูณ์ต้องกรองด้วยแผ่นกรอง หรือไส้กรองที่กรองได้ละเอียดถึง 0.2 ไมครอน
แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปไม่ได้ ในการผลิตน้ำบริโภคจำหน่ายเพราะต้นทุนจะสูงมาก ในการปฏิบัติแล้วจะใช้ไส้
กรองเซรามิคซึ่งมีขนาดความละเอียดในการกรองตั้งแต่ 1-0.3 ไมครอนซึ่งไส้กรองชนิดนี้หากผสมสาร silver ลงไป
ด้วยจะยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ไส้เซรามิค
1. ทำให้น้ำใสไม่มีตะกอนตกนอนก้นที่ขวดบรรจุแม้ว่าจะตั้งขวดทิ้งไว้นาน ๆ ก็ตาม
2.กรองเชื้อโรคออกจากน้ำ
3. กรอง SPORE OF FUNGI ตะไคร่ออกจากน้ำ
2. การฆ่าเชื้อโรค
การฆ่าเชื้อโรคในน้ำ มีหลายวิธี เช่น
1. ต้มน้ำให้เดือด
2. ฆ่าเชื้อด้วยแสงอุลตร้าไวโอเลต
3. ฆ่าเชื้อด้วยโอโซน
4. ฆ่าเชื้อด้วยการใช้ผงคลอรีนหรือแก๊สคลอรีน
โครงการค้าน้ำ
แผนการส่งออกน้ำสะอาด จากทะเลสาบสุพีเรียของรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ก่อให้เกิดกระแสคัดค้าน
มากมาย โครงการนี้ เป็นการอนุมัติจากทางรัฐให้กลุ่มโนวา (NOVA GROUP) ดูดน้ำปริมาณ 600 ล้านลิตรต่อปีจาก
ทะเลสาบดังกล่าวส่งออกให้แก่ประเทศในทวีปเอเชียที่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำ กลุ่มโนวากล่าวว่า โครงการนี้เป็นไป
เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนน้ำในประเทศโลกที่สาม และช่วยเศรษฐกิจของรัฐออนตาริโอเหนือ กระแสต่อต้าน
โครงการมีมาจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักการเมืองทั้งสองฟากของทะเลสาบคือ แคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดย
เกรงว่า โครงการนี้จะเป็นการนำไปสู่โครงการส่งออกน้ำขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะขาดแคลน
น้ำในสหรัฐอเมริกาได้ในอนาคต
แนะนำวิธีการใช้น้ำอย่างประหยัด
การแปรงฟัน
1. ควรใช้แก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
2. ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะแปรงฟัน จะทำให้เสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์ไป 9 ลิตร ต่อ 1 นาที หรือ 45 ลิตร
การโกนหนวด
1. เมื่อโกนหนวดแล้ว ควรให้กระดาษชำระเช็ดออกก่อน เพื่อให้ล้างออกง่ายขึ้น
2. จากนั้นควรใช้แก้วหรือขันและจุ่มล้างใบมีดในแก้วหรือขัน จะเสียน้ำเพียงครึ่งลิตร
3. ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะโกนหนวด 2 นาที จะเสียน้ำประมาณ 18 ลิตร
การอาบน้ำ
1. การอาบน้ำด้วยฝักบัว จะสิ้นเปลืองน้ำน้อยที่สุด
2. รูฝักบัวยิ่งเล็กยิ่งประหยัดน้ำ
3. อาบน้ำด้วยฝักบัวแต่ละครั้ง ใช้น้ำประมาณ 20-30 ลิตร
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ขณะถูสบู่ 10 นาทีจะเสียน้ำประมาณ 90 ลิตร
5. ถ้าอาบน้ำในอ่าง จะใช้น้ำประมาณ 110 ลิตร
การใช้ห้องสุขา
1. โถส้วมแบบตักราดจะสิ้นเปลืองน้ำน้อยกว่าแบบชักโครกหลายเท่า
2. ถ้าใช้โถแบบชักโครก ก็ควรติดตั้งโถปัสสาวะแยกต่างหากไว้ด้วย
การซักผ้า
1. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรแช่ผ้าไว้กับน้ำผงซักฟอกระยะหนึ่งก่อนจะทำการซัก จะทำให้สิ่งสกปรกออกง่ายขึ้น
2. การซักล้างด้วยน้ำสะอาดอีก 2 ครั้ง จะใช้น้ำประมาณ 40 ลิตร
3. ถ้าเปิดน้ำให้ไหลล้นตลอดเวลา จะเปลืองน้ำมากถึง 9 ลิตรต่อนาที รหือ 180 ลิตร หากใช้เวลาซัก 20 นาที
4. ถ้าซักด้วยเครื่องครั้งหนึ่ง จะใช้น้ำประมาณ 150-250 ลิตร
5. น้ำสุดท้ายของการซักสามารถนำไปเช็คถูบ้าน หรือรดน้ำต้นไม้ใหญ่ได้
การล้างจาน
1. ควรใช้กระดาษชำระเช็ดคราบสกปรกออกก่อน จะช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
2. ควรล้างจานพร้อมกันในอ่างหรือภาชนะ เพื่อประหยัดเวลา และให้ความสะอาดมากกว่า
3. การล้างจากก๊อกโดยตรง ซึ่งจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 9 ลิตรต่อนาที
4. ถ้าเปิดก๊อกน้ำตลอดเวลา 15 นาที จะเสียน้ำประมาณ 135 ลิตร
การล้างอาหาร ผัก ผลไม้
1. ควรล้างโดยใช้ภาชนะรองน้ำเท่าที่จำเป็นจะประหยัดกว่า
2. หากล้างจากก๊อกโดยตรง ก็ควรมีภาชนะที่เคลื่อนย้ายรองรับน้ำไว้รดน้ำต้นไม้ได้
การถูพื้น
1. ควรใช้ภาชนะรองน้ำ เพื่อใช้อุปกรณ์หรือผ้าที่จะนำไปเช็ดถู
2. การใช้น้ำฉีดล้างโดยตรง จะสิ้นเปลืองน้ำเป็นจำนวนมาก
การรดน้ำต้นไม้
1. ควรใช้กระป๋องหรือฝักบัว เพราะต้นไม้ส่วนใหญ่ต้องการน้ำพอดี ๆ เท่านั้น
2. ไม่ควรใช้สายยางโดยตรง จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำเกินความจำเป็น
3. ควรรดน้ำต้นไม้ในช่วงเช้า หรือเย็น
การล้างรถ
1. ควรใช้ไม้ขนไก่ลูบปัดฝุ่นออกก่อน
2. ควรล้างโดยนำน้ำใส่ถัง แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถู ซึ่งจะใช้น้ำประมาณ 1-2 ถัง
3. ไม่ควรใช้สายยางฉีดล้างโดยตรง เพราะจะสิ้นเปลืองน้ำถึง 180 ลิตร และยังทำให้รถผุเร็วด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ควรรดน้ำต้นไม้ สนามหญ้าให้น้อยลง หรือเปลี่ยนรูปแบบของสนามใหม่ ให้เป็นแบบไม่ใช้น้ำ เช่น ใช้ไม้และหินแต่งสนามแทนการปลูกหญ้า
2. ขุดบ่อน้ำ หากบ้านใดมีพื้นที่กว้าง ให้ขุดบ่อใกล้บริเวณที่คิดว่าจะมีน้ำซึมจากดินขึ้นมาไว้ใช้รดต้นไม้
3. จัดเตรียมหาภาชนะไว้เก็บกักตุนน้ำ สำรองไว้ใช้ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน เพื่อป้องกันกรณีเกิดวิกฤตน้ำไม่ไหล
4. นำน้ำที่ใช้แล้ว เช่น น้ำสุดท้ายในการซักผ้า กลับมาใช้ในการถูบ้าน ล้างห้องน้ำ
5. สำรวจท่อรั่วภายในบ้าน ตรวจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพการใช้งานได้ดี ไม่มีการรั่วไหล ป้องกันการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์
6. หมั่นตรวจสอบชักโครก ในบ้านของท่าน เนื่องจากเป็นสุขภัณฑ์ที่มีสถิติน้ำรั่วไหลมาก
ปริมาณน้ำที่สิ้นเปลืองเพราะรั่วไหล (1 ถัง = 200 ลิตร)
*หยดอย่างช้าๆ สม่ำเสมอ สูญเสียประมาณ 7 ถังต่อเดือน
*หยดเร็วๆ สูญเสียประมาณ 11 ถังต่อเดือน
*หยดเป็นสาย สูญเสียประมาณ 38-51 ถังต่อเดือน
*หยดเป็นสายมากขึ้น สูญเสียประมาณ 87 ถังต่อเดือน
ที่มา : http://members.fortunecity.com/ningnong1/top.htm